Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แอปเปิลเขียวลดความอ้วน





แอปเปิลเขียวลดความอ้วน


    

            นานาผลไม้ที่ช่วยในการลดความอ้วนมีจำนวนไม่น้อย แอปเปิลเขียวก็เป็นอีกหนึ่งในบรรดาผลไม้ที่ใช้ทานช่วยลดความอ้วน การทานผลไม้ทำให้ร่างกายของเรารับพลังงานแคลอรีเข้าไปในร่างกายในปริมาณที่ต่ำ และไม่สะสมไว้ในร่างกายเหมือนอาหารจำพวกแป้ง ไขมัน หรือเนื้อสัตว์ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมายทำให้เรามีผิวพรรณที่งดงามใน ขณะลดความอ้วนแต่เจ้าแอปเปิลเขียวนั้นมีสาร อาหารที่ครบถ้วนพอเพียงต่อร่างกาย จึงสามารถนำมาทานแทนอาหารมื้อหลักได้เลยแต่ควรทานแทนวันละหนึ่งมื้อต่อวัน เท่านั้น แต่หากกังวลว่าการทานแต่ผลไม้หรือแอปเปิลเขียวจะทำให้เรามีพลังงานในการทำ งานน้อย หรือหมดแรงง่าย ซึ่งอันที่จริงร่ายกายเรามีระบบการนำพลังงานที่สะสมอยู่มาใช้ทดแทนอยู่ตลอด เวลา ก็ควรนำผล แอปเปิลเขียว มาทานแทนอาหารในมื้อเย็น ก็จะเป็นการช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดีอีกวิธีหนึ่ง

ที่มา : http://www.shapelytips.com

อะโวคาโด


                        
                
               อะโวคาโดกินก็ได้ บำรุงผิวก็ดี !!

สรรพคุณและประโยชน์ของอะโวคาโด(Avocado )ที่มีต่อร่างกายและผิวพรรณมีดังนี้
    
     เนื้อของอะโวคาโดประกอบด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัว  กรดไขมันชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลที่เป็นผลเสียต่อร่างกายและเพิ่มปริมาณ คอเลสเตอรอลที่เป็นผลดีต่อร่างกาย มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ  ลดไขมันในเส้นเลือด  คนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงก็บริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้ และใช้ลดน้ำหนักได้ดีเพราะมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจึงสามารถบริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้ 
     น้ำมันอะโวคาโด สกัดจากเนื้อของผลอะโวคาโดเป็นน้ำมันที่ดูดซึมสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันอย่างอื่นและน้ำมันสกัดจากอะโวคาโดยังประกอบด้วยวิตามินอี กรดไขมัน  และ oleic, phytosterol เมื่อน้ำมันไปใช้ในการปรุงอาหารก็มีส่วนช่วยให้วิตามินและสารอาหารที่ละลายในไขมันสามารถถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ สลัดผักจำพวกผักใบเขียวไขมันที่อยู่ในอะโวคาโดช่วยในการดูดซึมคาโรทีนอยด์ที่ช่วยต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเมื่อนำมาใช้กับผิวพรรณก็สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้นกับผิวที่แห้งแตกให้กลับมีสุขภาพดีขึ้น  
    
       ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกใช้ผลอะโวคาโดสดสำหรับบำรุงเส้นผมและผิวพรรณ
มานับพันปีแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ให้นำอะโวคาโดมาบดผสมกับกล้วยหอมสุข และ
น้ำผึ้ง ในอัตรส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 –
20 นาที แล้วล้างออก คุณก็จะมีผิวพรรณที่ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวา และยังใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญ
เพื่อการสกัดน้ำมันในอุตสาหกรรมทำเครื่องสำอางประทินผิวต่าง ๆ

     อะโวคาโด ประกอบด้วย วิตามิน เอช่วยบำรุงสายตา  วิตามินบีช่วยป้องกันโรคเหน็บ
ชา ปากนกกระจอก วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน  และโดยเฉพาะ
วิตามินอี ซึ่งเป็นสาร antioxidant ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทาง
อากาศ  น้ำ และอาหาร  สามารถป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ   และนอก
จากนี้อะโวคาโดยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น
โซเดียม โพแทสเซียม โฟเลต ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะโฟเลต
นั้น เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากโฟเลตเป็นสารอาหารที่จำเป็น
สำหรับการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อของทารก  ยังพบอีกว่าอะโวคาโดนั้นมีโปรตีนสูง
กว่าผลไม้สดอื่น ๆ ประมาณ 0.8 – 1.7 %   โดยให้ค่า พลังงานความร้อนต่อร่างกายสูง
แต่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเยื่อใยสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบ
ขับถ่าย

อะโวคาโดกับความงาม
1. บำรุงผมให้เงางาม 
         ใช้อะโวคาโดขนาดกลาง 1 ผล ผ่าครึ่งแล้วคว้านเมล็ดออก บดให้เละด้วยส้อม
และนำไปบดผ่านตะแกรงอีกครั้งหนึ่งเพื่อเนื้อที่เนียนละเอียดขึ้น ผสมไข่แดง 1 ฟองกับ
น้ำมันมะกอก 1/2 ช้อนชา หมักผมทิ้งไว้ 25 นาทีแล้วล้างออก จากนั้นสระผมด้วย
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผมและบำรุงผมตามปกติ แล้วคุณจะได้พบกับผมที่เงางามมี
น้ำหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

2. บรรเทาอาการใต้ตาคล้ำ
           เพียงแค่ฝานอะโวคาโดบาง ๆ แปะทิ้งไว้ที่ใต้ตาราว 15-20 นาที จึงนำออกแล้ว
ล้างหน้า คุณจะพบว่าใต้ดวงตาคุณสดใสขึ้น

 3. ใช้มาส์กหน้า
           ใช้อะโวคาโดครึ่งผล บดเนื้อให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วตามด้วยน้ำเย็นอีกครั้งหนึ่ง ผิวของคุณจะชุ่มชื่น
สดใสขึ้น

 4. ใช้เป็นมอยซ์เจอร์ไรเซอร์
           ใช้ด้านในเปลือกของอะโวคาโดถูเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้าที่สะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 15นาที หรือนานเท่าที่คุณต้องการ จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วตามด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง
ผิวคุณจะนุ่มชุ่มชื่นขึ้นจนสังเกตได้

5. แฮนด์สครับ
           ใช้อะโวคาโดครึ่งลูกบดให้ละเอียด ผสมข้าวโอ๊ตบดหยาบ 3-4 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว
1 ฟอง และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ขัดนวดเบาๆ ที่มือแล้วทิ้งไว้ 10-15 นาที จากนั้นล้างมือ
แล้วเช็ดให้แห้ง เท่านี้มือก็จะนุ่มน่าสัมผัส

6. บำรุงผิวเท้า
           อะโวคาโดสามารถให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้มาก จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเท้าที่มี
ปัญหาแห้งกร้าน ใช้อะโวคาโดบดทาที่เท้านวดเบาๆ เพื่อกระตุ้นให้ผิวหนังซึมซับความชุ่ม
ชื้นจากเนื้ออะโวคาโด จากนั้นพอกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก และคุณก็จะมี
เท้าจะเนียนนุ่มขึ้น

ที่มา : http://www.cheerylife.net/index.php


สวยหลายสไตล์ ด้วยผักผลไม้หลากสี

  

 ไปทำความรู้จักกับผักผลไม้สีสวยกัน ไปดูซิว่าผักผลไม้สีสวยๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราสวยในรูปแบบไหนกันบ้าง >///<














สีเหลืองสู้ๆ สีส้มสู้ตาย

: สองสีคู่ซี้ รวมกันช่วยต้านความแก่ ให้สาวๆ
    ในผักผลไม้ สีส้มๆ เหลืองๆ เนี๊ยะ มีประโยชน์ดีแท้
เลยละ ส้มเขียวหวาน สับปะรด มะละกอ ลูกพีช ล้วนมี
สารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่า เบต้าคริปโตแซนทิน ที่ช่วย
ป้องกันไม่ให้เซลล์ต่างๆ ถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ผักผลไม้ที่มีสีส้มมากๆ จะมีสารเบต้าเคโรทีน 
กินเยอะๆ ดวงตาก็จะวิ๊งๆ มีน้ำหล่อเลี้ยงนัยน์ตา ดวงตา
สาวๆ ก็จะสวย ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่ง นอกจากนี้
ผลไม้สีส้มและสีเหลืองยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง
บางชนิดซึ่งเราจะหาได้จากผลไม้จำพวกแคนตาลูป
มันเทศ มะม่วงสุก แครอท ฝักทอง






 
สีขาวเขียว สวยสุขภาพดี

ช่วยสร้างเอนไซม์จากตับได้ด้วยละ ^^
    ผักผลไม้ประเภทนี้จะมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์
ที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง
ขึ้นช่าย กุ่ยช่าย ต้นกระเทียมและผักสีเขียวทั้งหลาย
ก็มีประโยชน์จากสารไอโซโทโอไซยาเนตที่จะช่วย
กระตุ้นการสร้างเอนไซม์จากตับที่ใช้ต่อต้านมะเร็ง
ผักที่อยู่ในตระกูลนี้ได้แก่ บล็อกโคลี ผักกวางตุ้ง
คะน้า กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี







สีม่วงแดง หัวใจสดใสแข็งแรง
แล้วเราจะไม่เหี่ยวก่อนวัยอันควร ^^
     ผลไม้ที่มีสีม่วงจะมีส่วนประกอบของสารแอน
โทไซยานินและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีผล
ทำให้ผิวหนังของเราไม่เหี่ยวแห้งเร็วก่อนวัยอัน
ควรจ้า(ใครไม่อยากแก่ก่อนวัยต้องรีบรับประทาน
ผลไม้ตระกูลนี้ด่วนๆ เลย ) แถมยังช่วยลดอัตรา
การเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง
อีกด้วย มีประโยชน์มากๆ เลยนะเนี่ย :) ซึ่งผลไม้
ที่อยู่ในตระกูลนี้ได้แก่แอปเปิ้ลแดง ลูกพลัม
กระหล่ำม่วง องุ่นม่วง องุ่นแดง เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่
แบล็กเบอร์รี่และสำหรับคนที่อยากได้ชื่อว่าเป็น
                                                               คนฉลาดควรต้องรับประทานผัก ผลไม้ในกลุ่มนี้
                                                                   เพราะผลไม้สีม่วง-แดง จะเข้าไปช่วยบำรุงการ
                                                                     ทำงานของเซลล์สมอง
                                                    ใครอยากเป็นอัจฉริยะก็ต้อง

                                                            รับประทานผักผลไม้สีนี้กันเยอะๆ นะคะ ^^ 







สีเหลืองเขียว ตาดีได้ตาร้ายเสีย
ช่วยบำรุงสายตาให้แข็งแรง
     อันนี้จะมีสารลูทีนและแซนทิน ช่วย
บำรุงสายตาให้ใสปิ๊งๆ ป้องกันการเกิดต้อ
กระจก
และการทำลายจอตา จะหาได้จาก
ผักกาดหอม ถั่วลันเตา ถั่วแขก กีวีฟรุต
ข้าวโพด พริกเขียว พริกเหลือง อโวคาโด
ใครอยากสายตาดีๆ ต้องไม่พลาดผักผลไม้
ตระกูลนี้จ้า








สีเขียวแบบสาวสุขภาพดี

กำจัดกลิ่นเหม็นได้ด้วย
     ได้แก่ คลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ซึ่งเป็น
สารที่ทำให้พืชผักต่าง ๆ มีสีเขียว เช่น ตำลึง
คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู ใบบัวบก เป็นต้น โดย
สารคลอโรฟีลล์ที่ว่านี้มีคุณค่าอย่างมากมาย
มหาศาล เพราะเมื่อคลอโรฟีลล์ถูกย่อยแล้ว
จะสามารถป้องกันมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยขจัด
กลิ่นเหม็นต่างๆ ในตัวคนได้ดีด้วยค่ะ









สีม่วงยามแก่เฒ่าเราจะแข็งแรง

ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ <3
  พืชสีม่วงมี สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) 
ที่ให้สีม่วงในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วง ชมพู่ มะเหมี่ยว มะเขือม่วง 
แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ สารตัวนี้ช่วย
ลบล้างสารก่อมะเร็ง แถมสารแอนโทไซยานินยัง
ออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยง
ในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตได้อีกด้วย โอ้โห
มีประโยชน์มากจริงๆ นะเนี่ย








สีแดงแผลงฤทธิ์
ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วยนะ
    หรือที่เรียกว่า ไลโคพีน (Lycopene) มีอยู่ใน
มะเขือเทศ แตงโม (เจ้าสารตัวนี้นี่แหละที่ทำให้
มะเขือเทศกับแตงโมมีสีแดงสดใสน่ารับประทาน
แบบนี้) นอกจากนี้สีแดงในบีทรูท ลูกทับทิมและ
แคนเบอร์รี่นั้นมีสารที่ชื่อว่าสาร เบต้าไซซิน
(Betacycin) โดยทั้งสารไลโคพีน (Lycopene)
และสาร เบต้าไซซิน (Betacycin) นั้นมีสาร
ต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งจะช่วย
ป้องกันการเกิดมะเร็ง ทั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก
และมะเร็งปอดค่ะ








วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แต่งดวงตาให้สวย "ใน 4 ขั้นตอน"



สำหรับสาวๆ ที่บื่การกรีดอายไลเนอร์แล้วละก็ ครั้งนี้ punni มีวิธีการ make up ตาแบบง่ายๆ มาฝากค๊า ^^    อายแชโดว์สีลูกกวาดแบบนี้ ทำให้ดวงตาของสาวหมวยทั้งหลายดูกว้าง ยาวและโตขึ้นได้นะค่ะ แถม make up สไตล์นี้ก็จะทำให้สาวๆ ทั้งหลายมีอารมณ์แบบหวานซ่อนเปรี้ยวอีกต่างหาก 

































































TRIP*
อายลายเนอร์โทนสีแคนดี้แบบนี้ ตะทำให้กรอบตาของสาวๆ ดูกว้างและยาวขึ้น นั้นก็หมายความว่า การแต่งหน้าสไตล์นี้ ไม่จำเป็นต้องกรีดอายไลน์เนอร์ทับ ดวงตาสาวๆก็ดูโดดเด่นได้

ที่มา : http://www.dek-d.com




เมื่อฉันกลายเป็นหมีแพนด้า !!



           สวัสดีค่าสาวๆ เชื่อว่าน่าจะมีสาวๆ หลายคนที่ต้องทำการบ้านดึกดื่นแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน นั่นเลยเป็นอีกตัวการนึงที่ทำให้เราไม่สวย และทำให้เราแปลงร่างกลายเป็นหมีแพนด้าไปซะนี่ =[]= เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังแปลงร่างเป็นหมีแพนด้าล่ะก็ ต้องรีบตามมาอ่าน  ห้ามพลาดๆ





มาจัดการกับรอยคล้ำใต้ดวงตากันเถอะ!


สาเหตุ

1.สาเหตุ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นเพราะการนอนดึก
               นอนน้อย นอนหลับไม่สนิท ทุกเหตุผลล้วนทำให้เกิดรอยคล้ำใต้
               ดวงตาทั้งสิ้น


วิธีแก้ปัญหา:

- ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 7-9 ชั่วโมง แต่ไม่ใช่แค่การพัก
  ผ่อนเพียงแค่สองสามวันแล้วจะเห็นผลนะคะสาวๆ ต้องนอนหลับพักผ่อนให้
  เพียงพอประมาณสองสัปดาห์ขึ้นไปถึงจะเห็นผล ก่อนจะนอนลองสวดมนต์เพื่อ
  ให้เกิดความสบายใจ หรืออาจจะหาหนังสือมาอ่านสักเล่มก่อนนอนก็ได้


- ตัวการสำคัญที่ทำให้เรานอนไม่หลับก็คือ ความเครียด นั่นเอง เพราะฉะนั้น
  สาวๆอย่าเครียดนะจ๊ะ ไม่งั้นนอนไม่หลับ แล้วไม่สวยแถมเป็นหมีแพนด้าอีกนะ
  จะบอกให้



2.สาเหตุ การรับประทานอาหารที่ไม่มีวิตามินและการดื่มน้ำน้อยเกินไป
               การขาดวิตามินเคและวิตามินบี
12 ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ
               ใต้ดวงตาได้เช่นกัน


วิธีแก้ไขปัญหา:

- ต้องรับประทานอาหารจำพวกผักใบเขียวเยอะๆ เช่น บล็อกโคลี่ ผักบุ้ง หอมหัว
  ใหญ่ หน่อไม้ฝรั่ง หรือลองรับประทานผลไม้ที่มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ พวก
  ส้ม มะเขือเทศ แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบรับประทานผัก อาจหาซื้อวิตามินเสริมมารับ
  ประทานควบคู่ไปด้วยก็ได้ค่ะ


- ลดการรรับประทานอาหารที่เค็มจัด  เพราะเกลือเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายเก็บกัก
   น้ำไว้ เลยทำให้เกิดอาการตาบวมและยังทำให้การไหลเวียนของเลือดใต้ตาผิด
   ปกติอีกด้วย



3.สาเหตุ : การสูบบุหรี่ เป็นการเพิ่มสารอนุมูลอิสระให้กับร่างกายและยังลดการ
               ไหลเวียนของออกซิเจน ทำให้แก่ก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น และทำให้
               เกิดรอยคล้ำใต้ดวงตา


วิธีแก้ปัญหา:

- สาวคนไหนที่สูบบุหรี่ เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้ดูไม่ดีมากๆ แล้ว
   การสูบบุหรี่ยังทำให้แก่เร็วขึ้นเยอะเลยน้า 
> <


4.สาเหตุ : เป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งทำให้หลอดเลือดใต้ตาดำขยายมากกว่าปกติและ
               ทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ง่าย


วิธีแก้ปัญหา:

- ปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจหาโรคภูมิแพ้ และเพื่อหาวิธีการรักษาให้ถูกวิธี จะได้ไม่มีรอยคล้ำใต้ดวงตาด้วยเนาะ


สาเหตุอื่นๆ
- กรรมพันธ์ : อันนี้ไม่รู้จะแก้ยังไงจริงๆค่ะสาวๆ
- อายุ ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้น รอยคล้ำ รอยเหี่ยวย่นต่างๆก็มีมากขึ้นตามอายุ
- คนที่มีภาวะโลหิตจาง : อาจทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ด้วยเช่นกัน


Tips*

- ไม่ควรขยี้ตาแรงๆ เพราะอาจทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ตาแตกได้ ทำให้เลือดออก
   บริเวณนั้นและเป็นสาเหตุของการเกิดรอยคล้ำใต้ตา


- ใช้ครีมบำรุงรอบดวงตา

- ใช้คอนซีลเลอร์ช่วยปกปิดรอยคล้ำ โดยเลือกใช้คอนซีลเลอร์เนื้อบางเกลี่ยง่าย
   และเลือกโทนสีให้ใกล้เคียงกับสีผิวเรามากที่สุด  ซึ่งปัจจุบันมีหลายยี่ห้อค่ะ


- ลดการบริโภคอาหาร Fast Food ก็ช่วยทำให้รอยคล้ำใต้ดวงตาลดลงได้ด้วย
   เช่นกัน


- ลดปริมาณการดื่มชา และกาแฟ เพราะชา กาแฟ มีส่วนผสมของคาเฟอีน
  ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และทำให้รอยคล้ำใต้ดวงตาชัดเจนมากขึ้น


- ไม่ควรลดน้ำหนักแบบพรวดพราด เพราะทำให้ไขมันบริเวณใต้ดวงตาเด่น
  ชัดขึ้น


- ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อไปช่วยการไหลเวียนของเลือดในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น


Beauty at Home ^^


วิธีที่หนึ่ง
นำแตงกว่ามาหั่นสไลด์ให้ได้ชิ้นบางๆ นอนบนเตียงหรือบนโซฟาก็ได้ แล้วนำแตงกวาสองชิ้นนั้นวางลงบนเปลือกตา หลับตาเพื่อผ่อนคลาย ทิ้งไว้ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงค่อยเอาออก


    วิธีที่สอง
   นำถุงชาร้อนที่เราเพิ่งใช้ชงชาไป เอามา
   บีบน้ำออก แล้วนำมาประคบบริเวณรอบ
   ดวงตา แล้วทิ้งไว้ประมาณ 
10 – 15 นาที
   เช่นเดียวกันค่า


แนะนำ Product

*SALMON BRIGHTENING EYE CREAM : SKINFOOD

เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา ทำให้ไม่มีรอยคล้ำใต้ดวงตา มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งการเกิดเม็ดสีเมลานิน ใช้สัปดาห์ปละประมาณ 1-2ครั้ง

*การ์นิเย่ ไลท์ อาย โรลออน

มีลักษณะเป็นลูกกลิ้งแบบพิเศษ ใช้ง่าย จับถนัดมือ ช่วยลดความหมองคล้ำ ปรับผิวรอบด้วงตาให้กระจ่างใส มีส่วนของ  วิตามินบี 5 ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยลดอาการเหนื่อยล้า




         ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะดีได้เท่ากับ "การดูแล
ตัวเอง" ทั้งเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย การทาครีมบำรุงผิว และการพักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่จะช่วยดูแลให้เราดูสวยงามสดใสสมวัย ^^  


ที่มา : http://www.dek-d.com





วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สาวไซส์มินิ แต่งตัวยังไง ?


ตัวเล็กแบบนี้ แต่งตัวยังไงดีน้า ?


ใส่รองเท้าส้นสูง : รองเท้าส้นสูงเป็นไอเท็มชิ้นสำคัญของสาวไซส์มินิเลยค่ะ ใครที่ยังเป็นมือใหม่หรืออาจจะไม่ถนัดเรื่องใส่รองเท้าส้นสูงก็ไม่ต้องกังวลไป อาจใส่รองเท้าส้นเตารีดหรือรองเท้าส้นตึกแทนก็ได้ค่ะ ส่วนสาวคนไหนมั่นแล้วก็จัดส้นเข็มไปเล้ยยย :p


เอวสูง : เอวสูงก็เป็นไอเท็มอีกชิ้นที่สาวตัวเล็กต้องมีเลยค่ะ ทั้งกางเกงขาสั้น กางเกงขายาวเอวสูง หรือกระโปรงเอวสูงก็ตาม เพราะการใส่เอวสูงจะทำให้สาวร่างเล็กดูเพรียวขึ้น สูงขึ้น และขายาวขึ้นด้วย ใครอยากดูสูงล่ะก็ รีบไปหาเอวสูงมาใส่เลยนะคะ

 

สาวรักยีนส์ : แนะนำให้ใส่กางเกงยีนส์ทรงขากระบอกหรือขาเดป เพราะจะทำให้น้องๆ ดูขายาวและดูสูงขึ้นนั่นเองค่ะ


สร้อยคอ : สาวคนไหนชอบใส่สร้อยคอให้ลองหาสร้อยคอยาวๆ ทรงวีมาใส่ดู เพราะจะทำให้ช่วงตัวด้านบนดูยาวขึ้น

ใส่อะไร ‘ยาวๆ’ : สาวตัวเล็กอย่าไปกลัวการใส่กระโปรงยาวและ maxi dress ค่ะ เพราะการใส่อะไรยาวๆ จะทำให้เราดูสูงขึ้นและเพรียวขึ้นนั่นเอง 

เลือกเข็มขัดเส้นเล็ก : ลองใส่เข็มขัดเส้นเล็กๆ กับเดรสยาวจะทำให้สาวมินิไซส์ดูมีช่วงตัวที่ยาวขึ้น


Skinny or legging : ลองเลือกใส่สกินนี่หรือเลคกิ้งที่พอดีตัวเพราะจะช่วยทำให้ขาดูเรียวยาวมากขึ้น

ใส่ลายทางแนวดิ่ง : อันนี้เป็นกฎเบสิกที่ใครๆ ก็รู้ว่าถ้าอยากดูผอมและสูงต้องใส่ลายทางตรงหรือลาย   แนวตั้งนั่นเอง



เลือกใส่รองเท้าส้นแบนหัวแหลม : สาวคนไหนที่ใส่ส้นสูงไม่ไหวก็ไม่ต้องกลัวไปค่ะ เพราะรองเท้าส้นแบนหัวแหลมก็ทำให้สาวไซส์มินิดูสูงขึ้นได้เหมือนกัน 


Tips*

- การใส่เสื้อเข้าไปในกางเกงหรือกระโปรงก็ทำให้ดูสูงได้เช่นกัน เพราะจะทำให้คนอื่นมองเห็นช่วงขาของเราได้ชัดขึ้นตั้งแต่เอวลงไปค่ะ

- สาวตัวเล็กควรมีกางเกงขาสั้นและกระโปรงสั้นติดตู้เสื้อผ้าไว้เลย เพราะถือว่าเป็นไอเท็มช่วยชีวิตของเราเลยนะจ๊ะ

อย่าไว้ผมยาวเกิน เพราะสาวตัวเล็กที่ผมยาวมากๆ จะยิ่งดูเตี้ยนะคะ (แอบบอกว่าสาวคนไหนชอบมัดผมหรือทำดังโงะก็ช่วยทำให้สูงได้เหมือนกันจ้า)


- ผู้หญิงที่แต่งตัวออกมาแล้วสวยที่สุดคือ ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเอง
       สาวๆ มินิไซส์อ่านคอลัมน์นี้จบแล้วลองเอาไป Mix and Match กับเสื้อผ้าที่ตัวเองมีอยู่ก็ได้นะคะ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด ลองปรับให้เป็นสไตล์ของตัวเองดู เราอาจจะได้ชุดที่เก๋และไม่เหมือนใครด้วยนะคะ :) 

ที่มา : http://www.dek-d.com

ทำผมแสกกลางยังไงให้เริ่ด



มาทำผมแสกกลางกันเถอะ ^^ 

          สวัสดีค่าสาวๆ ช่วงนี้เบื่อทรงผมเดิมๆ ของตัวเองมากเลยเพราะว่าพี่เตยไว้ผมยาวแสกกลางมาซักพักใหญ่แล้ว วันก่อนเลยแวะเข้าไปหาข้อมูลดีๆ ในอินเตอร์เน็ตสักหน่อย เผื่อจะได้ข้อมูล หรือลูกเล่นใหม่ๆ ให้กับผมของตัวเองดูค่ะ ปรากฎว่าพี่เตยเห็นดาราหลายคนเลยที่ไว้ผมแสกกลางกัน ^^ และพี่เตยก็เชื่อว่าน้องๆ ม.ปลายหลายคนน่าจะประสบกับปัญหาคุณครูที่โรงเรียนไม่ให้ไว้หน้าม้าหรือไม่ให้สไลด์ผมด้านหน้า แบบนี้ก็เหมือนโดนบังคับให้แสกกลางไปในตัว ซึ่งพี่เตยแอบเห็นว่ามีน้องๆ หลายคนเลยที่ไม่ค่อยมั่นใจเมื่อไม่มีหน้าม้า เห็นปัญหาแบบนี้แล้ว คอลัมน์ Hair Care ก็ไม่รอช้า พี่เตยเลยหยิบเอาเรื่อง "แสกกลางยังไงให้เริ่ด" มาฝากน้องๆ กันจ้า สาวคนไหนที่แสกกลางอยู่แล้วอย่ารอช้า รีบตามมาอ่านกัน ส่วนน้องๆ คนไหนที่กำลังมีความคิดอยากเปลี่ยนลุคด้วยการแสกกลางก็สามารถเข้ามาอ่านได้เหมือนกันค่ะ ^^


แสกกลางให้เข้ากับรูปหน้า

          ปัญหาเรื่องรูปหน้ากับทรงผมนี่เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติของสาวๆ เชียว! แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ รูปหน้าแบบไหนก็มีโอกาสสวยได้เท่าๆ กันถ้ารู้จักรูปหน้าของตนเองและเลือกทรงผมให้เหมาะกับรูปหน้าค่ะ


สาวหน้ากลม

สาวหน้ากลมสามารถแสกกลางได้เหมือนรูปหน้าอื่นๆ ค่ะ เพียงแต่ว่าถ้าสาวหน้ากลมจะแสกกลางก็ไม่ควรไดร์ผมให้ตรงจนตั้งฉากกับพื้นโลก อาจสไลด์ผมด้านข้างทั้งสองข้างไล่ไปจนถึงปลายผมและดัดผมเป็นลอนอ่อนๆ เพื่อช่วยปิดแก้มและช่วยทำให้หน้ากลมน้อยลงค่ะ พี่เตยขอเสริมอีกนิดนะคะ สาวหน้ากลมคนไหนที่ผมบาง พี่เตยแนะนำว่าอย่าได้ทำผมตรงเด็ดขาดจ้า เพราะจะทำให้หน้าสาวๆ กลมหนักเข้าไปอีกน้า






สาวหน้ายาว

สำหรับสาวหน้ายาวที่อยากจะไว้ผมแสกกลาง พี่เตยแนะนำว่าควรไว้ผมความยาวประมาณต้นคอเป็นต้นไปค่ะ แต่สาวหน้ายาวไม่ควรดัดผมที่มีลอนใหญ่มากเพราะจะยิ่งทำให้หน้าของสาวๆ ดูเล็กและแคบเข้าไปอีกจ้า



สาวหน้าเหลี่ยม

สำหรับสาวหน้าเหลี่ยม สามารถดัดผมเป็นลอนคลายๆ ได้เช่นกันค่ะ โดยเริ่มดัดตั้งแต่ช่วงกลางของความยาวของเส้นผม หรือตั้งแต่ช่วงต้นคอลงไปก็ได้จ้า แอบกระซิบอีกนิดสำหรับสาวหน้าเหลี่ยมที่อยากลองตัดผมบ๊อบสั้นแล้วแสกกลาง พี่เตยเชียร์ให้ตัดโลดดดด!! เพราะยิ่งตัดผมสั้นจะทำให้สาวๆ ดูคล่องแคล่วและแอคทีฟมากเลยจ้า ;)




สาวหน้ารูปไข่


สาวหน้ารูปไข่นี่ช่างเป็นสาวที่โชคดีมากจริงๆ ค่ะ เพราะสามารถไว้ผมทรงไหนก็ได้นั่นเอง สาวๆ ที่มีหน้ารูปไข่อาจเพิ่มลูกเล่นด้วยการสไลด์ผมด้านข้างและทำสีเพื่อเพิ่มความสดใสให้กับใบหน้านั่นเอง สำหรับสาวหน้าไข่แต่ผมบาง พี่เตยแนะนำว่าให้ลองดัดผมเป็นลอนเบาๆ เพื่อช่วยทำให้ผมดูหนาขึ้นเล็กน้อยค่ะ




Tips *


ไม่จำเป็นต้องแสกกลาง เป๊ะ’ ถึงขนาดจะต้องเอาไม้บรรทัดมาวัด สาวๆ สามารถแสกกลาง
  ‘ค่อน’ ไปทางด้านใดด้านนึงได้จ้า

สาวคนไหนที่ปล่อยผมจนเบื่อแล้วอาจลองเพิ่มลูกเล่นให้กับทรงแสกกลางดูค่ะ เช่น ลองมัด
  ผมต่ำๆ ก็ดูเก๋ไปอีกแบบจ้า

ใครที่ไม่ชอบรวบผม ลองม้วนผมเป็นช่อเล็กๆ แล้ใช้กิ๊บสีดำติดทับดู ก็น่ารักไปอีกแบบนะคะ

ถ้าอยากเพิ่มลุคให้น่ารักอาจลองมัดแกละสองข้างดูก็ได้จ้า

สาวที่ชอบใส่เครื่องประดับอาจใช้ที่คาดผมมาช่วยเป็นอุปกรณ์สร้างลุคน่ารักๆ ดูได้ด้วยนะคะ



เป็นไงกันบ้างคะสาวๆ ทีนี้เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีไอเดียเพิ่มลูกเล่นให้กับผมแสกกลางแล้วแหละเนาะ ^^  

ที่มา : http://www.dek-d.com